ชอบเที่ยว ชอบทาน ชอบทำงาน ชอบมีเรื่อง…เล่า

ครั้งนี้จะเล่าเรื่อง อีสต์ฮอกไกโดหน้าร้อน 12 วันไปไหนกันดี

สำหรับใครที่เบื่อการท่องเที่ยวแบบหนาวสุดขั้วหัวใจของฮอกไกโดแล้ว ลองไปดูกิจกรรมช่วงฤดูร้อนกันดีไหม

วันแรก LAKE KANAYAMA ที่มินามิฟุระโนะ

สำหรับที่นี่คนญี่ปุ่นนิยมไปกางเต็นท์ และทำกิจกรรมในครอบครัว ที่นี่สามารถเล่นเรือใบ พายคายัค หรือจะตกปลาก็ได้ และถ้าไปช่วงนี้ก็จะได้พบกับเหล่าดอกลาเวนเดอร์ที่ตัดกับทะเลสาบอย่างงดงาม

หลังจากนั้นขับรถเลยไปโทมิตะฟาร์ม ซึ่งที่โด่งดังไปทั่วโลกด้านสีสันของดอกไม้และผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ที่นี่ผู้เขียนใส่ชุดที่ตัดลอกเลียนแบบกิโมโนไปเดินเล่น มีตากล้องสูงวัยชาวญี่ปุ่นเดินเข้ามาขอให้เป็นนางแบบให้ ผู้เขียนแอบนึกในใจ เอาวะ ตายเป็นตายจะโพสต์ท่าสวยๆไม่ให้เสียชื่อสาวไทย เผลอๆจะได้ดังเป็นพลุในญี่ปุ่น แต่สุดท้ายตากล้องก็กล่าวว่า “ช่วยหันหลังให้หน่อยคะ จะถ่ายรูปข้างหลัง เพราะสวยมาก”   

โฮชิโนะ รีสอร์ท โทมามุ (Hoshino Resort TOMAMU) เป็นรีสอร์ทที่อยู่ใจกลางหุบเขา HIDAKA

เป็นอาคารสูง 36 ชั้น และสูง 121 เมตร เป็นหนึ่งในโรงแรมรีสอร์ตอัลไพน์ที่สูงที่สุดในโลกและใหญ่ที่สุดในเกาะฮอกไกโดประกอบด้วยตึกสูงระฟ้า 4 ตึก แบ่งออกเป็น 2 ฝั่งคือ ฝั่ง The Tower(เดอะ ทาวเวอร์) และ RESONARE(เระโซนะเระ)

ครั้งนี้ขอรีวิวตึก RESONARE(เระโซนะเระ) ที่มี 32 ชั้นทุกห้องเป็นห้องสวีททั้งหมด กว้างกว่า 100 ตารางเมตร ภายในมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่และมีซาวน่าส่วนตัว ในรีสอร์ตประกอบไปด้วยร้านอาหารมากมายต่อให้คุณพักที่นี่ 5 วันก็ยังทานไม่ครบทุกร้าน เมนูต่างๆ จะใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นตามฤดูกาล ที่นั้นเป็นเหมือนเมืองย่อยๆ เหมาะสำหรับพาครอบครัวไปพักผ่อน กิจกรรมมีมากมายเช่น

เริ่มต้นเช้าวันใหม่เวลา 4 นาฬิกา ขึ้นไปชม ทะเลหมอกที่ Unkai Terrace (อุงไค เทอเรส)  คือจุดชมวิวทะเลหมอกที่สวยงามเปรียบดังเป็นสวรรค์บนโฮชิโนะ รีสอร์ท โทมามุ แห่งนี้เลยก็ว่าได้ สามารถเดินชมทะเลหมอก และถ่ายรูปตามจุดต่างๆที่ทางรีสอร์ตบรรจงสร้างไว้รอให้คุณไปพักผ่อน เอ่อ!!! ใจเย็นๆ ไม่ได้มีค่าโฆษณานะ เขียนเพื่อให้เห็นภาพและกระตุ้นให้พวกคุณอยากไปพักผ่อนกันนะ

ช่วงบ่ายๆ แดดร่มลมตกก็ใส่บิกินี สวมแว่นกันแดดเกร๋ๆ ไปMina-Mi Beach มินามิ ทะเลจำลองในร่มขนาดยักษ์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ในญี่ปุ่น และคุณจะรู้สึกเหมือนอยู่ทะเลจริงๆ แต่ไม่ต้องดำมะเมี่ยมเกรียมแดด ฝ้ามาเป็นปื้นเพราะภายในถูกปรับอุณหภูมิให้เป็นฤดูร้อนตลอดทั้งปีแถมมีคลื่นที่ถูกปล่อยออกมาตามเวลาที่กำหนดมีทั้งคลื่นขนาดเล็กและคลื่นขนาดใหญ่ นอกจากนี้หลังคายังเป็นหลังคาแบบกระจกใสที่จะทำให้แสงแดดส่องเข้ามาได้ ภายในอาคารกระจก ยังแยกย่อยออกเป็นบ่อน้ำร้อน Kirin-no Yu (คิริน โนะยุ) บ่อน้ำร้อนแบบกลางแจ้ง ที่เราจะแก้ผ้าแช่น้ำร้อน  ชมทุ่งหญ้าสีเขียวขจีสบายตา และถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวก็จะเห็นหิมะขาวๆแทน เชิญเลือกตามความชอบของแต่ละครอบครัว

ตกค่ำไปชมโบสถ์กลางน้ำ (CHAPEL ON THE WATER) โบสถ์คอนกรีตจากผลงานการออกแบบของสถาปนิคชื่อดังของญี่ปุ่นชื่อ Ando Tadao(อันโด ทะดะโอะ) กำแพงด้านหนึ่งของตัวอาคารเป็นกระจกใสทั้งหมดสามารถเปิดออกเพื่อรับบรรยากาศด้านนอกได้ โดยหันหน้าเข้าหาไม้กางเขนขนาดมหึมาที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำ คุณจะรู้สึกเงียบ สงบนิ่ง เป็นสุข แขกที่มาพักสามารถเข้าไปสัมผัสบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ของสถาปัตยกรรมที่อลังการแห่งนี้ได้ ในเวลากลางคืน ซึ่งจะมีรถบัสคอยอำนวยความสะดวกให้ ดูจบก็กลับไปนั่งจิบไวน์ ทานสแน็คฟรี จนถึงเวลาอันควรเข้านอน เช้าวันใหม่ก็พากันไปพายเรือ ขี่ม้า เลี้ยงแกะ ขี่จักรยาน และกิจกรรมมากมายให้เลือก

Koufuku,Obihiro, 北海道

ไปเยือนโควฟุคุ โอบิฮิโระ ฮอกไกโด สถานีรถไฟเก่าแก่ในตำนาน………

ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้ เวลา 10.30 นาที ของวันพฤหัสบดี ที่ 25 ก.ค 2019 ขบวนรถไฟสายที่มีความรักความสุข มีโชค มีลาภ กำลังจะออกจากสถานี 幸福 (โควฟุคุ) เมือง Obihiro-Shi (โอบิฮิโระชิ)  เพื่อมุ่งสู่กลางหัวใจของทุกคนที่กำลังมีความรัก มีความหวัง ขอจงมีพลังและสู้ต่อไป ใครอยากได้อะไรก็อธิษฐาน

สถานีแห่งนี้เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 1956 และโด่งดังมานานในยุค 70s จากบทเพลง  “Ai no kuni kara kofuku eki e “芹洋子 – 愛の国から幸福へ” จากดินแดนแห่งความรักไปยังสถานีแห่งความสุข ซึ่งสมัยนั้นบทเพลงนี้ทำยอดการขายตั๋วรถไฟได้ถึง 10 ล้านใบภายในระยะเวลาแค่ 4 ปี แม้ว่าปัจจุบันจะสถานีนี้ปิดตัวลงไปแล้วก็ตาม แต่ความรักไม่เคยจางหายไปจากโลกใบนี้  ที่นี่ก็ยังมีคู่รักหนุ่มสาวมาถ่ายรูปแต่งงานกันเสมอๆ เมื่อมาแล้วก็อย่าลืมซื้อตั๋วสีชมพูหน้าตาเหมือนตั๋วรถไฟเอาไว้เขียนคำอธิษฐาน ติดตามผนังด้านในและด้านนอกสถานี ให้หัวใจมันเป็นสีชมพูกันไปเลย…….

ไปผจญภัยกันต่อที่ คูซูริ หรือ คูชิโระ ที่ได้เปลี่ยนชื่อในปี ค.ศ. 1869 มีลักษณะคล้ายๆ ป่าพรุโต๊ะแดงที่นราธิวาสและป่าพรุควนเคร็งที่นครศรีธรรมราช เป็นที่ชุ่มน้ำเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ ป่าบ้านเราถูกคนรุกล้ำเข้าไปในป่าเพื่อดักสัตว์และสร้างบ้านพัก แต่ที่ญี่ปุ่นป่าจะยังคงเป็นป่า และตรงกันข้าม หมู่บ้านอาจจะถูกรุกล้ำโดยสัตว์ เช่นนกกระเรียนออกมาวางไข่ทำรังบริเวณหน้าบ้านและตามเรือกสวนไร่นาของชาวบ้าน ถามว่าเขารำคาญไหม? แน่นอน มากด้วย แต่กฎหมายคุ้มครองสัตว์ของเขาแรง จึงไม่มีใครกล้า ในอดีตนกกระเรียนจะบินมาจากไซบีเรียซึ่งเป็นทางเหนือของเกาะ เพื่อหนีความหนาว พอหายหนาวก็บินจากไป ปัจจุบันนกกระเรียนสร้างรังอยู่ที่นี่เลย

นกกระเรียนที่นี่จะเป็นสายพันธุ์หายากชื่อว่า มงกุฎแดง มีลำตัวใหญ่ ขนสีขาว หัวสีแดง ปีก หาง และลำคอเป็นสีดำ คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า นกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์มีผัวเดียวเมียเดียว แต่ความจริงแล้ว ไกด์นำทางชาวญี่ปุ่นบอกเราว่า

“ก็ไม่เชิงนะ” (วิธีตอบแบบคนญี่ปุ่น กำกวม ต้องเดา เข้าใจยากเหมือนภาษาญี่ปุ่น) “แต่สมัยก่อนวิวัฒนาการยังไม่เจริญขนาดนี้เลยติดตามพฤติกรรมนกไม่ได้เหมือนปัจจุบัน”…..ที่เหลือคิดเอง

ผู้เขียนไปนอนที่นั่นสองคืนเพื่อชมพระอาทิตย์ตกบริเวณท่าเรือคุชิโระ ณ สะพาน Nusamai bashi (สะพานนุซาไม) ที่วิวพระอาทิตย์ตกสวยติดหนึ่งในสามของโลก เป็นสะพานที่พาดข้ามบริเวณใกล้กับปากแม่น้ำคุชิโระ บนราวสะพานมีรูปปั้นอันเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงฤดูกาลทั้ง 4 แต่หมอกก็ลงหนักทั้งสองวัน สิ่งที่ฝันกับสิ่งที่ได้ ช่างสวนทางกันจริงๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีสิ่งดีๆทดแทน เพราะโรงแรมอยู่ห่างตลาดวะโช แค่กิโลกว่าๆ จึงเดินไปทานอาหารทะเลสดๆถูกๆได้อย่างสบายๆ …เพราะเป็นเมืองติดทะเล อาหารที่ขึ้นชื่อคือปลาแซลมอน ปูขนฮานะซากิ และหอยนางรมอัคเคชิ

 

Part 2

ทะเลสาบอะคังเป็นทะเลสาบน้ำตื้นที่จะกลายเป็นผืนน้ำแข็งทั้งหมดในช่วงฤดูหนาว และน้ำใสงดงามในฤดูร้อน ที่นี่มีวัฒนธรรมของชาวไอนุที่น่าสนใจให้เรียนรู้ พวกเขาเป็นชนพื้นเมืองหรือพวกชนเผ่าของฮอกไกโดที่มีมานานหลายร้อยปีแล้ว พวกเขาบอกว่า “พวกเราอยู่ที่นี่มาก่อนที่พวกลูกพระอาทิตย์จะมา” หมายถึงชาวไอนุมีมาก่อนประชาชนคนญี่ปุ่น ผู้เขียนเป็นคนสนใจใคร่รู้จึงซื้อบัตรเข้าอีกอร์ ไอนุเธียเตอร์  เพื่อชมการร่ายรำแบบโบราณประกอบบทเพลงของชนเผ่าไอนุ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติ” ชาวไอนุ มีความเชื่อว่าพระเจ้าแปลงกายมาเป็นหมีและมาอยู่รวมกับคนเพื่อช่วยเหลือ ปกป้อง รักษา และให้ชีวิตแก่มนุษย์ ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดพิธีกรรมตอบแทนบุญคุณพระเจ้าหรือหมี ด้วยวิธีที่เรียกว่า Ainu bear festival “iyomante” ซึ่งถือว่าเป็นการส่งวิญญาณของหมีกลับคืนสู่สวรรค์ โดยพิธีนี้จะถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ วิธีการส่งหมีกลับสวรรค์ในอดีตนั้นแสนจะโหดร้ายทำลายจิตใจผู้เขียนยิ่งนัก(มโนภาพตามด้วยนะ)  นั่นคือการย่องเข้าไปในป่าพร้อมอาวุธครบมือ มีด หอก ดาบ ธนู ไปกันเป็นทีมเพื่อไปเอาลูกหมีที่น่ารักมาเลี้ยงดูอย่างดี แต่การจะเอาลูกหมีมาเลี้ยงได้ ต้องฆ่าแม่มันเสียก่อน เสร็จแล้วก็อุ้มน้องหมี กลับมาในหมู่บ้าน ช่วยกันป้อนข้าว ป้อนนม ป้อนขนม จนอ้วนกลมและน่ารัก เมื่ออายุครบ 2 ปี ก็ให้ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ เอาธนูรุมยิงลูกหมีจนตาย พระเจ้ารุมยิงลูกหมีอายุ 2 ขวบ จนตายคาที่ (ร้องไห้หนักมาก) ยังไม่จบนะ จากนั้นก็เอามีดกรีดถลกหนังเอาไปทำเสื้อกันหนาว ทำรองเท้า แล่เนื้อเอาไปต้มผสมหัวไชเท้าเป็นอาหารเช้าร้อนๆของคน แม้แต่หัวกระโหลกเล็กๆอันน่ารัก ก็เอาไปบูชาพระเจ้า นั่นคือเรื่องราวในอดีต ปัจจุบันพิธีกรรมนี้ไม่มีใครทำแล้วมีแค่โชว์ ถ้าตอนนี้ยังยิงลูกหมีคงโดนกลุ่มคนรักหมีคงจะประท้วงจน Facebook แตก ผลิตเสื้อแจกใส่กันกระจายนะ เฮ้อ …..บางครั้งอดีตก็เจ็บปวดนะ ถ้าไม่อยากมีอดีตที่เจ็บปวดก็อย่าทำไม่ดี (เพราะคุกไม่ได้มีเอาไว้ขังหมี) บ้านเราเดี๋ยวนี้ความชอบธรรมมาเร็ว …… ขอแค่เราร่วมมือร่วมใจกัน

ทะเลสาบมาชู ว่ากันว่า เป็นทะเลสาบที่น้ำใสที่สุดในโลก และสวยรองจากไบคาล อย่าถามนะว่าใครว่า เพราะพูดต่อๆกันมาจนหาคนว่าคนแรกไม่ได้แล้ว

ผู้เขียนก็ไปมาหลายทะเลสาบแล้วได้ยินแบบนี้มาก็มาก ตอนนี้ยังงงๆ ตกลงที่ไหนมันสวยและใส จนได้ถ้วยรางวัลกันแน่  หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการประชาสัมพันธ์ของการท่องเที่ยวนั่นเอง แต่เชื่อเถอะ สวยทุกที่ ทะเลสาบมาชูเป็นทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟ ที่เกิดจากแอ่งภูเขาไฟรูปกระจาดที่ยังไม่สงบ (หมายถึงอาจจะมีการปะทุได้) อยู่ในอุทยานแห่งชาติอะกัง ถามว่าสวยไหม? ตอบเลยว่าสวยมาก แต่ไม่ทราบว่าสวยเป็นอันดับที่เท่าไหร่ เพราะแต่ละที่มีเสน่ห์ต่างกันออกไป

Sakura-no-toki น้ำตกซากุระ ตอนไปที่นี่เราถามไกด์ท้องถิ่นที่เราว่าจ้างนำทางไปชมนกกระเรียนว่า ช่วงนี้มีปลาแซลมอนมาวางไข่หรือไม่ ก็ได้รับการแนะนำให้มาที่นี่ ขนาด GPS ของรถญี่ปุ่นเองก็ยังพาหลง แต่ถ้าหาเส้นทางนี้เจอก็จะเหมือนเจอขุมทรัพย์ทั้ง 5 เพราะจะมีที่เที่ยวที่น่าสนใจอีก 5 แห่งที่จะต้องไป ซากุระโนะโทะคิ เป็นน้ำตกขนาดกลางที่คนลงไปเล่นน้ำไม่ได้ แต่มีปลาแซลมอนกำลังว่ายทวนกระแสน้ำเพื่อกระโดดข้ามน้ำตกขึ้นไปวางไข่นั่นเอง ผู้เขียนเคยไปชมปลาแซลมอนวางไข่ที่อลาสก้า จำได้ติดตาว่ามันน่าเวทนายิ่งนักเพราะที่นั่นเขาใช้ตาข่ายกั้นไม่ให้ปลาขึ้นไปตามธรรมชาติเพราะอะไรจำเรื่องราวไม่ค่อยได้ จำได้แต่ว่าเศร้าใจเป็นที่สุด เพราะปลาส่วนใหญ่ตัวที่ไม่แข็งแรงก็จะตายส่งกลิ่นเน่าเหม็น หรือเบียดเสียดกันจนเป็นแผล น่าเวทนายิ่งนัก แต่ที่นี่เป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวา เรามาที่นี่ถึงสองรอบเพื่อดูแค่ปลากระโดด ไม่น่าเชื่อว่าจะตื่นเต้นสนุกสนานขนาดนี้ แนะนำสำหรับคนที่อยากดูอะไรแปลกๆ สนุกๆ เพราะที่นี่เป็นต้นน้ำที่ปลาจะกลับมาวางไข่ทุกปี

“The Road To Sky” เส้นทางสู่สวรรค์

การจะขับรถไปที่ Shiretoko (ชิเระโทะโคะ) จะต้องผ่านถนนนี้ ซึ่งเป็นเส้นตรงยาวสุดลูกหูลูกตา ถ้าจำไม่ผิดพวกฝรั่งมาเขียนผังเมืองให้เมื่อสมัยสงครามโลก ถนนในเขตตัวเมืองเกือบทุกเมืองบนเกาะฮอกไกโดจึงมีลักษณะเป็นตารางสี่เหลี่ยมเหมือนกันกับเมืองของพวกฝรั่ง เส้นถนนที่ตรงบวกกับเนินสูงต่ำ มองแล้วก็สวยแปลกตาดี แต่ถ้าใช้ Google map และขับรถเอง ต้องค้นหาคำว่าทางไปสวรรค์  “天に続く道 展望台” นะคะ

คาบสมุทรชิเระโทะโคะ Shiretoko มาจากภาษาไอนุ แปลว่า สุดเขตแผ่นดิน อยู่ทางตะวันออกสุดของฮอกไกโด ที่ยื่นออกไปในทะเลโอค็อตสค์ ซึ่งมีช่องแคบเนะมุโระ กั้นกลางระหว่าง เกาะคูนาซีร์ของประเทศรัสเซีย ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

แล้วไปทำอะไรที่นี่ ไปล่องเรือ ดูหมี ดูหมา ดูกวาง และน้ำตก ธรรมชาติช่างเสกสรรให้ที่นี่เหมือนสวรรค์ของนักเดินทางที่ชื่นชอบธรรมชาติ ไม่ว่าจะเดินชม นั่งเรือชม นั่งรถชม…

Shiretoko Five Lakes เป็นทะเลสาบที่มีขนาดเล็กจำนวน 5 เเห่ง ที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟทำให้มีน้ำพุจากใต้ดินไหลออกมาที่บึงทั้ง 5 เราขอเรียกว่าบึงทั้ง 5 แล้วกันนะเพราะมันเล็กไม่เหมือนทะเลสาบแต่วิวสวยมาก คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าคือนิ้วมือทั้ง 5 ของพระเจ้า ผู้เขียนได้เดินชมวิวแค่ครึ่งทางเพราะช่วงที่ไปหมีกำลังออกหากิน ทางการจึงสั่งปิดเส้นทางบางส่วน เพื่อไม่ให้หมีถูกรบกวนและป้องคนที่อาจจะได้รับอันตรายจนต้องยิงหมีทิ้ง เราพอใจคำสั่งนี้มาก เพราะความต้องการของคนส่วนใหญ่คือไปชมให้ใกล้ที่สุดโดยมีทหารถือปืนคอยให้ความปลอดภัยกับผู้ลุกล้ำไม่ได้คำนึงถึงว่านั่นคือถิ่นที่อยู่ของเขา

หลังจากนั้นผู้เขียนก็นั่งเรือขนาดเล็กที่บรรจุคนได้ 50 คน เพื่อชมคาบสมุทรชิเรโทโคะ อุทยานนี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นแหล่งที่พบหมีมากที่สุดในญี่ปุ่น ขณะนั่งเรือไปนั้นก็จะเห็นวิว ทิวทัศน์ และน้ำตกหลายแห่ง แต่…ที่เด็ดสุดคือหมีสีน้ำตาลลงมาเดินเล่นที่ปลายสุดของแหลม ลืมเล่าว่าเรือลำนี้เป็นเรือท่องเที่ยวของคนในท้องถิ่น ดังนั้นการบรรยายจะใช้ภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด พอถึงช่วงที่เจอหมี ทางเรือก็บอกว่าให้มองไปทางขวาประมาณ 2 นาฬิกา ข้างๆก้อนหินสีดำสองก้อน มีกอหญ้าสีเขียว 3 กอใหญ่ๆห่างจากเรือมาก(เพราะขนาดใช้เลนส์ซูม400 mm ก็ยังเห็นตัวเท่าหัวไม้ขีด) จะมีหมีสีน้ำตาลอ้วนๆ เดินเล่นอยู่ กว่าผู้เขียนจะแปลได้ครบทุกประโยค เรือก็หันหัวกลับเสียแล้ว ……สรุปไม่ได้รูปหมี อีกอย่างที่ผู้เขียนประทับใจมากๆคือ ตอนเจอหมี เรือลำนี้ยังคงรักษาระยะห่างเหมือนเดิม ไม่เข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะได้เห็นหมีชัดๆ ไม่มีการรบกวนความเป็นส่วนตัวของหมีเลย

Kamuiwakkayu Falls น้ำตกที่เป็นน้ำร้อนเพราะด้านบนของน้ำตกเป็นบ่อน้ำพุร้อน เนื่องจากน้ำจะค่อยๆไหลลงมาจากด้านบนทำให้อุณหภูมิค่อยๆลดลงจนเราสัมผัสได้แค่ความอุ่นเท่านั้น แต่ถ้าคุณปีนขึ้นไปด้านบนสูงขึ้นเรื่อยๆ น้ำก็จะค่อยๆร้อนขึ้นๆ ตามลำดับ ในสมัยก่อนคนปีนผ่านโขดหิน และช่องแคบต่างๆ เจอความร้อนขึ้นเรื่อยๆและลื่น ทำให้เกิดเป็นอันตรายถึงชีวิตทางการจึงสั่งปิดด้านบนเพราะอันตรายเกินไป แต่ถึงกระนั้นก็คุ้มค่าที่จะได้ไปชม

 

Night Safari

ขณะนี้เวลา 23.00 น. ที่ Shiretoko ยังนอนไม่ได้ถ้ามิได้อวดรูปสวยๆ คืนนี้เรามีนัดไปส่องสัตว์กัน เริ่มตั้งแต่เวลา 20.00 -21.30 โดยรถตู้ 10 คน พร้อมคนขับ ในรถเป็นคนญี่ปุ่นหมด ยกเว้นผู้เขียน เรื่องมีอยู่ว่าผู้เขียนกำลังเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นจึงอยากพูดอยากคุยเพื่อให้สมารถพูดได้ จึงสอบถามที่ประชาสัมพันธ์ ของเรียวกังว่า ช่วงค่ำของคนแถวนี้มีกิจกรรมอะไรทำบ้าง เธอก็รีบบอกเลย มี night safari แต่ก็บอกไม่ได้ว่ามันดียังไง เพราะเธอก็ไม่เคยใช้บริการ รู้แต่ว่าเดี๋ยวคืนนี้จะให้รถตู้จะมารับ……

คนขับรถ ทักทายเราเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม ?” ผู้เขียนตอบว่านิดหน่อย เขาจึงถามต่อว่า คุณพูดภาษาญี่ปุ่นได้ไหม? ผู้เขียนตอบว่าพอเข้าใจได้ คนขับรถเลยสรุปว่า ผมพูดภาษาญี่ปุ่นได้อย่างเดียว เรียกเสียงฮาให้คนญี่ปุ่นทั้งรถตู้ คนขับใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง สนนราคาก็คนละ 2,800 เยน รถวิ่งไปตามเส้นทางถนนปกติในเขตอุทยานแห่งชาติชิเรโทโคะ  สักพักหนึ่งก็เจอกวาง 1 ตัว เลยไปอีกหน่อยก็เจอครอบครัวหมาป่า 3 ตัว คนญี่ปุ่นฮือฮากันทั้งรถ ส่วนเราสองคนเฉยๆ เพราะว่าเคยไปซาฟารีมาหลายที่ แต่ก็ร้องไปกับเขาด้วยจะได้กลมกลืน

ค่ำคืนอันยาวไกล เราได้เจอสัตว์ 2 ชนิด และได้คำศัพท์ใหม่ มา 2 คำ คือ 鹿 ชิคะ กวาง และ 狐🦊  คิซึเนะ หมาจิ้งจอก ส่วนฝีมือการถ่ายรูป ดูเอาเอง ไม่ได้ถ่ายไม่เป็นแต่มันมืด แล้วเจอกับเรื่องราวญี่ปุ่นแบกเป้ ของผู้เขียนครั้งต่อไป ตอนใบไม้เปลี่ยนสีที่ โทโฮคุ เดือน พ.ย ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ

よろしくおねがいします。

Photo / Story  : Kwanzaa