ดร.ยู ปิยพัชร์ ภูศิริ Phd. ผู้หญิงเก่งในแวดวง สปา,สุขภาพ,ความงาม และชะลอวัย

หากพูดถึงผู้หญิงทำงาน Working woman คนเก่ง วิสัยทัศน์ไกล ที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการดูแลสุขภาพ แบบองค์รวม (Holistic Medicine) หรือปัจจุบันเรียกว่า การแพทย์แบบบูรณาการ (Integrative medicine) เชื่อว่า ดร.ยู (เพื่อนนักธุรกิจและแพทย์ ชาวต่างชาติ เรียก Pinky) ต้องอยู่ในรายชื่อต้นๆของเมืองไทยอย่างแน่นอน ด้วยประสบการณ์ในการเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง และเป็นที่ปรึกษาให้กับธุรกิจด้านนี้ ทั้งในและต่างประเทศมาอย่างยาวนาน ทำให้ชื่อของเธอเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง


ปัจจุบันเธอเป็นประธานกรรมการศูนย์การแพทย์บูรณาการ Bangkok Health Club (BHC) หรือ บีเอชซี สหคลินิก และ BHC Group ตั้งอยู่ชั้น 10 โรงแรมสุโขทัย (ชื่อเดิมโรงแรมเพียตร้า) ถนนรัชดาภิเษก ซอยรัชดา 18 (ติดกับเมืองไทยประกันชีวิต) และยังมีสาขาในประเทศเวียดนาม เราไปพูดคุยกับผู้หญิงเก่งและแกร่งคนนี้กันเลย
“ดิฉันอยู่ในแวดวงธุรกิจนี้มาเกือบ 30 ปี แต่ไม่ค่อยได้ออกสื่อ มักอยู่เบื้องหลังมากกว่า เริ่มตั้งแต่เป็นเจ้าของร้านเสริมสวย เจ้าของสปาทั้งในไทยและต่างประเทศ จนกระแสเรื่องเวชศาสตร์ชะลอวัย(Anti Aging Medicine) เข้ามา ก็ไปศึกษาเพิ่มเติมโดยเฉพาะเรื่อง เทคโนโลยีเซลล์ต้นกำเนิด การนำสเตมเซลล์มาใช้เพื่อความงามและการชะลอวัย กับอาจารย์หมอทั้งในและต่างประเทศ (ตอนศึกษาระดับปริญญาเอก ก็ทำวิจัยเกี่ยวกับสเตมเซลล์ลงในหนังสือสภาวิจัยแห่งประเทศไทย ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมนักวิจัย ปีที่ 24 ฉบัยที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2562) ที่ผ่านมาเกือบ 30 ปี ดิฉันยังต้องอบรม,ค้นคว้า,เรียนรู้ ไม่จบไม่สิ้น เดินทางไปดูงานทั้งในและต่างประเทศ ที่ไหนที่มีชื่อเสียงหรือมีนวัตกรรมใหม่ๆ ดิฉันจะไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ดูงาน โดยเฉพาะเกี่ยวกับนวัตกรรมการแพทย์ชะลอวัยและการใช้เซลล์บำบัด (Stem Cell Therapy) ดิฉันทดลองใช้สเตมเซลล์กับตัวเองมาไม่ต่ำกว่า 15 ปี รวมทั้งการล้างพิษ เสริมภูมิคุ้มกัน ปรับฮอร์โมน ทุกวันนี้ก็ยังไม่หยุดยั้งในการเรียนรู้และติดตามนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อพัฒนาและดูแลตัวเอง ดิฉันเชื่อว่าวงการแพทย์ สุขภาพ ความงาม และการชะลอวัย หากหยุดหาความรู้ไป 3 เดือน ก็ตามคนอื่นไม่ทันแล้ว เหมือนกับโทรศัพท์มือถือ มีรุ่นใหม่ออกมาแข่งกันตลอด

อยากเล่าย้อนหลังเกี่ยวกับแรงบันดาลใจที่ทำให้ดิฉันให้ความสนใจและอยู่ในวงการนี้มายาวนาน คือตัวดิฉันเองเป็นคนที่ป่วยมาก่อน เป็นธาลัสซีเมีย และภูมิแพ้อย่างหนัก ตอนมัธยมต้องไปนอนสอบอยู่ในห้องพยาบาลโรงเรียน เพราะเวลาเรียนไม่พอ อาจารย์ถึงขั้นตั้งฉายาว่า “สตรีที่โรคไม่เคยลืม” ต้องทานยาเป็นประจำ ยังไม่พอหลังจบปริญญาตรี เส้นประสาทถูกกดทับ ลุกเองไม่ได้ต้องมีคนช่วยพยุงอยู่เป็นเดือน ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นเพื่อทำกายภาพบำบัด ฉีดยาและทานยาแก้ปวด อาการเป็นๆหายๆ ต้องทานยาเยอะมากถึงขนาดอยู่ใกล้ๆก็จะได้กลิ่นยา จนวันหนึ่งไม่อยากทานยาและไม่อยากไปโรงพยาบาลอีกแล้ว ก็เลยเสาะแสวงหาทางเลือกอื่น ตอนนั้นก็มีคนแนะนำให้ไปนวดกับอาจารย์ชื่อดังที่ซอยอารีย์จะได้หาย ไปทำอยู่ 3 เดือน อาการเส้นประสาทถูกกดทับก็ดีขึ้น ไม่ต้องทานยาแก้ปวดและไม่ต้องทำกายภาพบำบัดอีกต่อไป เลยรู้สึกว่าภูมิปัญญาไทยมหัศจรรย์มาก จึงไปเรียนด้านนี้เพิ่ม แบบเอาจริงเอาจังหลายสถาบัน เช่น โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดโพธิ์ ,สมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย เลยเป็นจุดเริ่มต้นของศาสตร์แห่งการนวดบำบัด (Massage therapy) แล้วก็เปิดร้านและร้านสปาเองเลย ตอนนั้น ชีวาศรมมีชื่อเสียงมาก ดิฉันก็ไปเรียนเพิ่มพูนความรู้ คือเป็นคนที่เรียนไปทำงานไปด้วย,ทดสอบ และฝึกฝนจนสามารถถ่ายทอดความรู้ให้คนอื่นได้


ปี พ.ศ. 2546 มีโอกาสเดินทางไปประเทศสวิสเซอร์แลนด์ คลินิคราแพรี่ (Laboratory la parrie) เห็นคนไทยที่มีชื่อเสียงเดินทางไปดูแลสุขภาพและฉีดสเตมเซลล์ที่นั่น ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก็หาข้อมูลเพิ่ม ที่สวิสเซอร์แลนด์ตอนนั้นใช้เซลล์จากแกะ สกัดเป็นเซรั่ม มีทั้งดารา นักร้องชื่อดังที่เป็นตำนานเมืองไทย ซุปเปอร์สตาร์ฮอลลีวูด และคนมีชื่อเสียงจากหลายประเทศบินมาดูแลสุขภาพที่นั่นโดยเฉพาะเพื่อการชะลอวัย แล้วทุกคนที่ดิฉันเห็นก็ดูเด็กกว่าอายุจริงมาก เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้จักศาสตร์ด้าน Anti Aging (การชะลอวัย)
พอกลับมาเมืองไทยก็ไปหาข้อมูลว่าในเมืองไทยมีใครที่ทำเกี่ยวกับด้านนี้บ้าง ก็ไปพบอาจารย์แพทย์ 2 ท่าน ถ้าเอ่ยชื่อขึ้นมาคนในวงการนี้จะรู้จักท่านกันหมด เพราะเป็นคนแรกที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเซลล์ต้นกำเนิด เลยไปฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อศึกษาเรื่องการแพทย์ชะลอวัย,เซลล์บำบัด (Stem Cell Therapy),การล้างพิษ,เสริมภูมิคุ้มกัน,การปรับฮอร์โมน จนถึงปัจจุบันก็ยังต้องเรียนรู้ ฝึกอบรม และหานวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีงานวิจัยและเอกสารรับรองมา ต้องได้อ่านได้ทดสอบกับตัวเองก่อน สิ่งไหนดีจึงจะแนะนำหรือทำให้ผู้อื่น อยากให้คนใกล้ชิดได้ทำแต่สิ่งดีๆ เห็นเขามีสุขภาพดีขึ้น เราก็มีความสุข

สำหรับตัวดิฉันเองในช่วง 15 ปีหลัง นี้แทบไม่ป่วยเลย เข้าโรงพยาบาลแค่สองครั้งจากอุบัติเหตุเล็กน้อย เพราะเราดูแลร่างกายด้วยการเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ปรับฮอร์โมน และใช้เซลล์บำบัด โรคภูมิแพ้ อาการป่วยจากธาลัสซีเมียก็หายขาด แต่ก็ไม่เคยชะล่าใจ ต้องดูแลตัวเองอยู่เรื่อยๆ ไม่อยากกลับไปกินยา เข้าออกโรงพยาบาลเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ยิ่งตอนนี้มีนวัตกรรมเรื่องการตรวจ DNA ยิ่งรู้ว่ายาบางตัวที่เราทานไปเพื่อรักษาโรคกลับทำร้ายร่างกายและระบบภูมิต้านทานของเราเอง ยิ่งไม่อยากทาน พูดถึงเรื่องนี้ขอเล่าหน่อยว่าดิฉันได้ร่วมงานกับห้องปฏิบัติการตรวจ DNA ที่มีผู้ร่วมลงทุนเป็นชาวจีน เป็นห้องปฏิบัติการเอกชนแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณะสุข ได้ผลรวดเร็ว ไม่ต้องส่งไปตรวจไกลถึงต่างประเทศ ซึ่งมีนวัตกรรมในการตรวจ DNA เพื่อการดูแลสุขภาพในหลายๆด้าน เช่น การตรวจ DNA ก่อนการใช้น้ำมันกัญชา CBD, THC เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการรักษาสูงสุด เพราะแต่ละคนมีการตอบสนองต่อการใช้กัญชาไม่เหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกขนาดจะทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ ,การตรวจ DNA ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง,การตรวจ DNA ในการใช้ยา และอีกหลายอย่าง
ปัจจุบันดิฉันเป็นที่ปรึกษาให้กับ Wellness หลายแห่ง ,เป็นผู้ร่วมก่อตั้งอีกหลายที่ และยังมี BHC ที่เปิดเองด้วย เปิดมาไม่ได้จะเป็นคู่แข่งกับใคร แต่อยากเอาไว้ดูแลตัวเอง ,คนในครอบครัว ,เพื่อน และผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดนับถือ ที่นี่จึงเป็นสหคลินิกเล็กๆ ที่เข้ามาแล้วอบอุ่นเหมือนบ้าน แต่พร้อมไปด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย ยาและเครื่องมือส่วนใหญ่ นำเข้ามาจากเยอรมัน อเมริกา เกือบ 80% เพราะมีอาจารย์หมอที่นั่นคอยดูแลให้คำปรึกษาและช่วยจัดส่งมาให้ อีกอย่างลูกของพี่สาวแต่งงานกับศาสตราจารย์ที่สอนนักศึกษาแพทย์ ที่ Oxford มานานมากด้วย ทำให้เรามีเครือข่ายทั่วโลก (Global Network) อะไรดี อะไรมาใหม่ก็จะรู้ก่อนใคร ลูกสาวตอนนี้ก็จบแพทย์แล้ว ก็จะให้มาช่วยเป็นกำลังเสริมอีกคน

หลักในการทำงาน
ไม่หยุดเรียนรู้ หานวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามา ต้องมีงานวิจัยรับรอง และต้องทดลองใช้กับตัวเองก่อน ซื่อสัตย์ จริงใจ ให้แต่สิ่งดีๆ แก่ผู้อื่น และดูแลทุกคนดุจญาติมิตร โดยเฉพาะงานเกี่ยวกับแพทย์ทางเลือก หรือแพทย์บูรณาการอย่างเรา ลูกค้าคาดหวังสูงมาก ทำอะไรผิดพลาดไม่ได้ ทุกครั้งที่ลูกค้าเข้ามาที่คลินิคเรา จะมีการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีการซักประวัติสุขภาพย้อนหลัง ให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการวางแผนและตัดสินใจในการรักษา เราจะแก้ตั้งแต่ต้นเหตุ เสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดโรค และทำให้มีชีวิตยืนยาว ไม่ใช่อายุยืนอย่างเดียว เวลาแก่ตัวมาต้องเป็นผู้สูงวัยที่มีคุณภาพ ไม่เป็นภาระของลูกหลาน อยู่อย่างมีคุณค่า แก่มายังทำประโยชน์ให้สังคมได้ ไม่ใช่นั่งรถเข็นหรือนอนติดเตียง เราอยากให้ลูกค้าของเราเดินไปไหนมีคนทักว่าไปทำอะไรมา ดูเด็กลงกว่าเดิม หรือดูสุขภาพดีกว่าเดิม เวลามีลูกค้ามาเล่าให้ฟังแบบนี้ มันทำให้ดิฉันรู้สึกมีความสุข ยิ่งตอนนี้มีคลินิกแบบนี้ผุดขึ้นตามสมัยนิยมมากมาย มีการโฆษณาเกินความจริง มันทำให้เราต้องพิสูจน์ให้ลูกค้าเราเห็นความแตกต่าง และบอกปากต่อปาก
​ถึงอย่างไร แพทย์ที่ดีที่สุดก็เริ่มจากตัวเราเอง เราต้องดูแลตัวเอง คือนอนหลับพักผ่อน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่เครียด พฤติกรรมของเราเป็นตัวเสริมและช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงและอ่อนวัยยิ่งขึ้น
​คุณยูกล่าวทิ้งท้ายว่า นอกจากงานประจำดิฉันยังทำงานที่สภา และทำงานเพื่อสังคม ให้ทุนการศึกษาเด็กนักเรียนที่เรียนดี แต่ยากจน บริจาคทรัพย์ สิ่งของ อาหาร ให้แก่เด็กกำพร้า หูหนวก ตาบอด ทุพลภาพ โรคเรื้อน มาตลอด และเรามีกลุ่มของเรา ตั้งขึ้นมาสำหรับช่วยคนพวกนี้ ในอนาคตเราจะตั้งมูลนิธิกัน รอให้เปิดประเทศ เพราะจะมีองค์กรต่างประเทศมาร่วมด้วย ทุกวันนี้รายได้จากลูกค้ามาใช้บริการที่คลินิกเรา ก่อนหักค่าใช้จ่ายจะหักไว้ทุก 3% เพื่อทำประโยชน์และคืนให้แก่สังคมตามที่กล่าวมา คนมาใช้บริการที่คลินิกเราก็เหมือนได้ร่วมทำบุญ ได้ช่วยเหลือสังคมและตอบแทนคุณแผ่นดินไปในตัวด้วย

ตำแหน่งปัจจุบัน
• กรรมการสมาคมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพไทย
• ประธานกรรมการ บจ.บางกอก เฮลส์คลับ(BHC สหคลีนิค) และ BHC Group
• อุปนายกสมาคมการคส่งเสริมธุรกิจภาคกลาง(ดูแลด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว)
• เลขานุการคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา
• ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการบริหารราชการแผ่นดิน พัฒนาระบบราชการและการผังเมือง
• คณะกรรมการการแพทย์บูรณาการแห่งอาเซียน
• คณะกรรมการส่งเสริมกิจการวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
• อาจารย์บรรยายพิเศษ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ การแพทย์บูรณาการและการแพทย์ชะลอวัย
• กรรมการ บริษัท YinHao Travel (Thailand) จำกัด
• อนุกรรมการ สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
• สมาชิก Global Wellness Institute
• สมาชิก Arab Health